(เครดิตรูปภาพ: Motorama)
เมื่อพูดถึงรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) หรือรถออฟโรด หนึ่งในคำที่มักได้ยินอยู่เสมอคือ Diff-lock หรือ “ดิฟล็อก” ซึ่งเป็นระบบสำคัญที่ช่วยให้รถสามารถผ่านเส้นทางที่สมบุกสมบันหรือเต็มไปด้วยอุปสรรคได้ดียิ่งขึ้น
แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจชัดเจนว่ามันคืออะไร ทำงานอย่างไร และควรใช้เมื่อไหร่ ในบทความนี้ Motorist จะมาอธิบายให้คุณเอง!
Diff-lock คืออะไร
Diff-lock ย่อมาจาก Differential Lock หมายถึง ระบบล็อกเฟืองท้ายหรือเฟืองกลางของรถยนต์ เพื่อบังคับให้ล้อที่อยู่ในเพลานั้นๆ หมุนพร้อมกันด้วยความเร็วเท่ากัน แม้ว่าล้อหนึ่งจะลื่นหรือเสียแรงยึดเกาะก็ตาม
ปกติแล้ว “ดิฟเฟอเรนเชียล (Differential)” จะทำหน้าที่ให้ล้อซ้าย-ขวาหมุนไม่เท่ากันในขณะเลี้ยว เพื่อให้รถเลี้ยวได้อย่างนุ่มนวล แต่เมื่ออยู่บนเส้นทางลื่น โคลน หิมะ หรือหล่ม ล้อที่ฟรีจะหมุนเกินไปจนรถไม่สามารถเคลื่อนได้ ระบบ Diff-lock จึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้
หลักการทำงาน
เมื่อเปิด Diff-lock → ล้อทั้งสองฝั่งบนเพลาเดียวกันจะหมุนเท่ากัน 100%
เมื่อปิด Diff-lock → ระบบจะกลับไปทำงานแบบดิฟเฟอเรนเชียลปกติ
ด้วยการ “ล็อก” นี้ ทำให้ล้อที่ยังเกาะพื้นสามารถส่งกำลังช่วยพารถไปข้างหน้าได้ แม้ล้ออีกฝั่งจะฟรีอยู่ก็ตาม
ประเภทของ Diff-lock
-
Center Diff-lock (ล็อกเฟืองกลาง)
ใช้กับรถ 4WD แบบ Full-time เพื่อแบ่งกำลังเท่ากันระหว่างเพลาหน้า-หลัง
-
Rear Diff-lock (ล็อกเฟืองท้าย)
ล็อกล้อซ้าย-ขวาที่เพลาหลังให้หมุนพร้อมกัน เหมาะกับการลุยโคลนหรือหิน
-
Front Diff-lock (ล็อกเฟืองหน้า)
ล็อกล้อซ้าย-ขวาที่เพลาหน้า ส่วนใหญ่ใช้ในรถออฟโรดสายโหด
ข้อดีของการมี Diff-lock
เพิ่มแรงยึดเกาะและกำลังขับเคลื่อนในสภาพถนนลื่น
ช่วยให้รถผ่านอุปสรรค เช่น หล่มโคลน ร่องหิน หรือทรายลึกได้ง่ายขึ้น
เสริมความมั่นใจให้ผู้ขับเมื่อต้องลุยเส้นทางสมบุกสมบัน
ข้อควรระวังและข้อเสีย
ไม่ควรใช้บนถนนปกติ เพราะการล็อกล้อให้หมุนเท่ากันอาจทำให้ยางสึกหรอและระบบขับเคลื่อนเสียหาย
ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น เช่น เมื่อติดหล่มหรือทางลื่นจริงๆ
ต้องมีทักษะการขับออฟโรดพอสมควร เพราะการใช้ Diff-lock ผิดจังหวะอาจทำให้รถควบคุมยาก
รถที่นิยมมี Diff-lock
Toyota Hilux Revo, Ford Ranger, Isuzu D-Max (บางรุ่น)
รถออฟโรดตัวจริง เช่น Jeep Wrangler, Toyota Land Cruiser, Mitsubishi Pajero
รถ SUV และ 4x4 หลายรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อการลุย
สรุป
Diff-lock ถือเป็นตัวช่วยสำคัญของสายออฟโรด เพราะมันช่วยให้รถมีพลังขับเคลื่อนเพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่ล้อปกติไม่สามารถพารถผ่านไปได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรเข้าใจวิธีการทำงานและเปิดใช้งานในสถานการณ์ที่เหมาะสม เพื่อป้องกันความเสียหายต่อระบบขับเคลื่อนและยางรถยนต์นั่นเอง
รับสิทธิ์ประเมินราคารถฟรีวันนี้!
อ่านเพิ่มเติม: 5 เหตุผลทำไมปี 2025 ควรซื้อ “รถมือสอง” มากกว่ารถใหม่
ต้องการ ราคาประเมินรถ? สามารถติดต่อเราเพื่อรับการประเมินราคารถฟรี ภายใน 24 ชั่วโมงได้เลย…