Diff-lock คืออะไร? ระบบล็อกเฟืองท้ายที่สายลุยต้องรู้!

เผยแพร่โดย เมื่อ

Editors%2 Fimages%2 F1757584808427 1757584808427

(เครดิตรูปภาพ: Motorama)

เมื่อพูดถึงรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) หรือรถออฟโรด หนึ่งในคำที่มักได้ยินอยู่เสมอคือ Diff-lock หรือ “ดิฟล็อก” ซึ่งเป็นระบบสำคัญที่ช่วยให้รถสามารถผ่านเส้นทางที่สมบุกสมบันหรือเต็มไปด้วยอุปสรรคได้ดียิ่งขึ้น

แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจชัดเจนว่ามันคืออะไร ทำงานอย่างไร และควรใช้เมื่อไหร่ ในบทความนี้ Motorist จะมาอธิบายให้คุณเอง!

Diff-lock คืออะไร

Diff-lock ย่อมาจาก Differential Lock หมายถึง ระบบล็อกเฟืองท้ายหรือเฟืองกลางของรถยนต์ เพื่อบังคับให้ล้อที่อยู่ในเพลานั้นๆ หมุนพร้อมกันด้วยความเร็วเท่ากัน แม้ว่าล้อหนึ่งจะลื่นหรือเสียแรงยึดเกาะก็ตาม

ปกติแล้ว “ดิฟเฟอเรนเชียล (Differential)” จะทำหน้าที่ให้ล้อซ้าย-ขวาหมุนไม่เท่ากันในขณะเลี้ยว เพื่อให้รถเลี้ยวได้อย่างนุ่มนวล แต่เมื่ออยู่บนเส้นทางลื่น โคลน หิมะ หรือหล่ม ล้อที่ฟรีจะหมุนเกินไปจนรถไม่สามารถเคลื่อนได้ ระบบ Diff-lock จึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้

หลักการทำงาน

  • เมื่อเปิด Diff-lock → ล้อทั้งสองฝั่งบนเพลาเดียวกันจะหมุนเท่ากัน 100%

  • เมื่อปิด Diff-lock → ระบบจะกลับไปทำงานแบบดิฟเฟอเรนเชียลปกติ

ด้วยการ “ล็อก” นี้ ทำให้ล้อที่ยังเกาะพื้นสามารถส่งกำลังช่วยพารถไปข้างหน้าได้ แม้ล้ออีกฝั่งจะฟรีอยู่ก็ตาม

ประเภทของ Diff-lock

  1. Center Diff-lock (ล็อกเฟืองกลาง)

    • ใช้กับรถ 4WD แบบ Full-time เพื่อแบ่งกำลังเท่ากันระหว่างเพลาหน้า-หลัง

  2. Rear Diff-lock (ล็อกเฟืองท้าย)

    • ล็อกล้อซ้าย-ขวาที่เพลาหลังให้หมุนพร้อมกัน เหมาะกับการลุยโคลนหรือหิน

  3. Front Diff-lock (ล็อกเฟืองหน้า)

    • ล็อกล้อซ้าย-ขวาที่เพลาหน้า ส่วนใหญ่ใช้ในรถออฟโรดสายโหด

ข้อดีของการมี Diff-lock

  • เพิ่มแรงยึดเกาะและกำลังขับเคลื่อนในสภาพถนนลื่น

  • ช่วยให้รถผ่านอุปสรรค เช่น หล่มโคลน ร่องหิน หรือทรายลึกได้ง่ายขึ้น

  • เสริมความมั่นใจให้ผู้ขับเมื่อต้องลุยเส้นทางสมบุกสมบัน

ข้อควรระวังและข้อเสีย

  • ไม่ควรใช้บนถนนปกติ เพราะการล็อกล้อให้หมุนเท่ากันอาจทำให้ยางสึกหรอและระบบขับเคลื่อนเสียหาย

  • ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น เช่น เมื่อติดหล่มหรือทางลื่นจริงๆ

  • ต้องมีทักษะการขับออฟโรดพอสมควร เพราะการใช้ Diff-lock ผิดจังหวะอาจทำให้รถควบคุมยาก

รถที่นิยมมี Diff-lock

  • Toyota Hilux Revo, Ford Ranger, Isuzu D-Max (บางรุ่น)

  • รถออฟโรดตัวจริง เช่น Jeep Wrangler, Toyota Land Cruiser, Mitsubishi Pajero

  • รถ SUV และ 4x4 หลายรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อการลุย

สรุป

Diff-lock ถือเป็นตัวช่วยสำคัญของสายออฟโรด เพราะมันช่วยให้รถมีพลังขับเคลื่อนเพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่ล้อปกติไม่สามารถพารถผ่านไปได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรเข้าใจวิธีการทำงานและเปิดใช้งานในสถานการณ์ที่เหมาะสม เพื่อป้องกันความเสียหายต่อระบบขับเคลื่อนและยางรถยนต์นั่นเอง

รับสิทธิ์ประเมินราคารถฟรีวันนี้!

อ่านเพิ่มเติม: 5 เหตุผลทำไมปี 2025 ควรซื้อ “รถมือสอง” มากกว่ารถใหม่


ต้องการ ราคาประเมินรถ? สามารถติดต่อเราเพื่อรับการประเมินราคารถฟรี ภายใน 24 ชั่วโมงได้เลย…

0 ความคิดเห็น